วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ทรงเจ้า ปาฏิหาริย์ หรือ การแสดง


อดีตร่างทรงเผยชีวิตเบื้องหลังการ"ทรงเจ้า"

ในปัจจุบัน แม้ว่ายุคสมันได้เปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน เทคโนโลยีในไทยก้าวหน้าไปเพียงใด แต่ความเชื่อเรื่องการทรงเจ้าก็ยังคงมีอยู่ แม้ว่าวิทยาศาสตร์ในไทยจะมีความเจริญก้าวหน้าในด้านบุคลากรและความรู้มากมายเพียงใด แต่การเข้าไปพิสูจน์เรื่องความเชื่อและการทรงเจ้า ยังคงคลุมเคลือและหาข้อสรุปไม่ได้ บทความนี้ จะเป็นการตีแผ่ความจริงจากมุมของอดีตนักทรงเจ้าท่านนึง ซึ่งได้หันหลังให้กับวงการทรงเจ้า และออกมาให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของการทรงเจ้าและกลวิธีในการทำงานของร่างทรงทั้งหลาย



นายชูชาติ งามการ  เป็นผู้ที่เคยทรงเจ้ามาก่อน ทั้งแสดงอิทธิฤทธิ๋ต่างๆแก่ประชาชน ในฐานะร่างทรงของ เทพเจ้าจี้กง มายาวนานกว่า 20 ปี เขาได้รับความนับถือของประชาชน ทั้งในเรื่องของความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ เรียกศรัทธาจากประชาชนเป็นอย่างมาก เขากล่าวว่า แรกเริ่มในสมัยเด็กๆนั้น เขาได้อาศัยการเลียนแบบท่าทางของนักทรงเจ้าคนอื่นๆ จนพ่อและแม่มาเห้นจึงเกิดความเข้าใจผิด คิดว่าลูกถูกผีเข้า จึงพาไปหาร่างทรง และร่างทรงได้บอกพ่อกับแม่ของเขาว่า ตัวของชูชาตินั้น มีองค์เทพมาลง แต่ตัวชูชาตินั้นรู้ดีว่ามันไม่ใช่ เขาแค่เลียนแบบท่าทางเฉยๆ หลังจากนั้น เขาก็ได้ผันตัวเข้าสู่ววงการเทพเจ้าร่างทรงในที่สุด



ทำนายแม่นยำราวกับมีนัยน์ตาทิพย์

การสร้างความนับถือนั้น บางครั้งเราต้องสร้างความศรัทธาให้กับประชาชนด้วยการแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารณ์ โดยเฉพาะเรื่องของการทำนาย ชูชาติกล่าวว่า หากจะพิสูจน์ว่าคนไหนทรงจริงไม่จริงนั้น ทำได้ไม่ยาก แค่เข้าไปลองถามร่างทรงด้วยคำถามเท็จต่างๆ ก็จับได้แล้ว เช่น เข้าไปถามว่า ตอนนี้ลูกทั้งสามคน ใครที่พึ่งพาได้ที่สุดในตอนนี้ ร่างทรงก็ตอบมาว่า คนสุดท้องพึ่งได้ที่สุด แต่ต้องมาสะเดาะเคราะห์ที่ก่อน เพราะมีกรรมหนัก ซึ่งความเป็นจริงแล้ว คนที่ไปถามนั้น เป็นผู้หญิงโสด ไม่มีลูก แค่เตี้ยมไปถามร่างทรงเฉยๆ เพียงแค่นี้ก็รู้แล้วว่าร่างทรงนั้น หาได้มีการทรงเทพเจ้าใดๆไม่



ใช้หลักวิทยาศาสตร์....พิชิตคนให้อยู่หมัด

การปลุกเสกคาถา เพื่อช่วยบรรเทาความทุกข์ในใจของประชาชนที่มาร้องขอ มื่อคนเหล่านั้นนำไปใช้แล้ว เกิดเป็นผลดีอย่างไม่น่าเชื่อทันตาเห็น เพราะอะไรถึงเป็นแบบนั้น ชูชาติกล่าวว่า คนที่มาส่วนมากก็ล้วนมีแต่คนที่มีความทุกข์ในใจกันทั้งนั้น คนที่มีความทุกข์เมื่อการเจอกันและกันเป็นสังคมเล็กๆ ก็จะเกิดการระบายซึ่งกันและกัน ได้พบเห็นคนที่ประสบความทุกขืในแบบต่างๆนาๆ เมื่อเจอแบบนี้ก็จะทำให้คนเหล่านั้น เกิดความสบายใจ อยากจะมาอีกเรื่อยๆ จนในที่สุดก็กลายเป็นลูกศิษย์ร่างทรงไปในที่สุด



ชูชาติกล่าวว่า ใช้เทคนิควิทยาศาสตร์ง่ายๆในการทำนาย เช่น การสังเกตุรูปลักษณะภายนอกของคนที่มาดู สังเกตุอาการ และ กริยาท่าทาง ซึ่งมันจะเป็นตัวบ่งบอกได้ว่า คนๆนี้เป็นยังไง นิสัยแบบไหน เช่น ตาแดงก่ำ คือ เสพยาบางชนิด ผิวขาวแต่ปากคล้ำ อาจจะสูบบุหรี่มากไป เป็นต้น มีตัวอย่างกรณีนึง ที่มีหญิงสาวรายนึง มีปัญหาทะเลาะกับสามีเป็นประจำ เมื่อชูชาติดูจากลักษณะแล้ว เป็นคนที่พูดปากจัดเกินไป ปัญหาที่เกิดจึงอาจจะมาจากนิสัยของเธอเป้นต้นเหตุ จึงปลุกเสกน้ำมนต์ให้ เอาไปให้สามีกินเมื่อกลับมาถึงบ้าน และกำชับว่าห้ามบ่น หรือพูดจาไม่ดีๆกับสามี ผลสุดท้ายบังเกิดอัศจรรย์ ทั้ง๕กลับมารักกันอีกราวปาฏิหารณ์ ทั้งที่ความจริงมันเป็นหลักการเอาใจง่ายแค่นั้นเอง 


องค์เทพแสดงปาฏิหาริย์ หรือเกิดจากการฝึกฝน?

เมื่อเจ้าเข้าประทับทรง องค์เทพสำแดงเดชด้วยปาฏิหาริย์ ทั้งใช้เหล็กแหลมทิ้มแทงตามร่างกาย หรือจะเอามีดมาเชือดลิ้นทิ้งให้เห็นเป็นขวัญตา ของแบบนี้มนุษนย์ปุถุชนคนธรรมดา คงไม่มีใครทำได้ แต่สำหรับ ชูชาติ ในร่างมนุษย์ ได้ทำมาหมดอาศัยเพียงความใจกล้าและหมั่นฝึกฝน

การเดินลุยไฟนั้น หลักการง่ายๆ เลยคือระหว่างลุยไฟจะต้องวิ่งให้เร็ว ห้ามยืนอยู่เฉยๆ และจากการทดลอง ถ้าความยาวของกองไฟยาวประมาณ 3-4 เมตร เท้าจะไม่พอง แต่ถ้ากองไฟ ยาวประมาณ 8-10 เมตร เท้าจะพองในวันรุ่งขึ้น

การแทงเหล็กแหลมสามง่ามเข้าท้อง ไม่ต้องมีองค์มาประทับ แค่กะระยะให้เหล็กแหลมตรงกลาง แทงเข้าไปบริเวณซิปกางเกง ส่วนเหล็กแหลมด้านข้างซ้ายขวาจะอยู่ที่บริเวณเอว ทีนี้ก็เล่นละครแกล้งทำเป็นล้มกลิ้งล้มหงาย สุดท้ายคือแทงไม่เข้า!!



ที่มักเห็นกันบ่อยๆ คือ การแทงเหล็กแหลมทะลุแก้ม ซึ่งมีด้วยกัน 2 รูปแบบ

แบบแรกคือใช้เหล็กขนาดเล็ก วิธีการก็คือจะต้องทาเจลที่เหล็กก่อนเพื่อทำให้ลื่นทะลุได้โดยง่าย ที่สำคัญจะต้องแทงจากด้านในปากทะลุออกมาด้านนอก เพื่อให้ปากแผลเล็ก และเลือดไม่ไหลออกมาด้านนอก

แบบที่สอง คือการใช้เหล็กดุ้นใหญ่ๆ ก็จะต้องฉีดยาชาและทานยาแก้ปวดด้วย และต้องใช้มีดผ่าตัดกรีดแก้มให้มีรูขนาดใหญ่กว่าขนาดของเหล็ก เมื่อแทงเหล็กเข้าไปแล้วก็จะต้องใช้น้ำกลั่นและน้ำแข็ง คอยราดปากแผลเพื่อไม่ให้เซลล์ตาย

"ที่คุ้นตากันอีกอย่างคือ “การเล่นกับลิ้น” ไม่ว่าจะเป็นการเชือดหรือจะหั่นทิ้งก็สามารถทำได้ทั้งนั้น วิธีการง่ายๆ สำหรับการเชือดลิ้นจะต้องใช้มีดที่คมมากๆ และทำความสะอาดมีดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เวลาเชือดจะต้องทำให้เร็ว ซึ่งความเร็วและความคมของมีดจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นเพราะเนื้อไม่ช้ำ แต่ถ้าเชือดลิ้นแล้วยังไม่สะใจ จะตัดลิ้นให้ดูทำได้ เพียงแค่ใช้ลิ้นหมูที่ถูกฆ่าใหม่ๆ เลือกขนาดที่พอๆ กับลิ้นคน เอามาชุบน้ำหวานลดความคาว เวลาแสดงให้เนียน จะต้องเอาลิ้นหมูพร้อมถุงน้ำแดงใส่ไว้ในแก้ว จากน้ันทำทีเป็นหยิบแก้วขึ้นมาจิบน้ำพร้อมกับเทลิ้นหมูและถุงน้ำแดงเข้าปาก แล้วใช้ลิ้นดุนลิ้นหมูออกมา ใช้ฟันกัดให้แน่นแล้วใช้มือจับปลายลิ้นพร้อมกับเอามีดดาบมาเฉือนเบาๆ ก็จะหดลิ้นหมูกลับเข้าไปในปากอีกครั้ง ขั้นตอนต่อมาต้องพยายามกัดถุงน้ำแดงในปากให้แตก ซึ่งจะทำให้เหมือนว่ามีเลือดไหลออกจากปาก หลังจากนั้นก็แลบลิ้นหมูออกมาใหม่ แล้วใช้เหล็กแหลมแทงให้ทะลุ ก่อนจะใช้มีดดาบตัดให้ลิ้นขาเป็น 2 ท่อน (ท่อนหนึ่งจะติดอยู่กับเหล็กแหลม อีกท่อนหนึ่งจะอยู่ในปาก) เมือตัดเสร็จแล้วก็เอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเลือดที่ปากพร้อมกับแอบคายถุงน้ำแดงและลิ้นหมูลงผ้าเช็ดหน้า และเพื่อเป็นการยืนยันความเนียน ก็จำเป็นจะต้องอ้าปากโชว์ด้วยว่าลิ้นได้ขาดไปแล้ว โดยต้องหดลิ้นลงเก็บไว้ในคอพร้อมกับพูดเสียงอ้อแอ้ เหมือนคนไม่มีลิ้น..."



ภาษาเทพ คนพูดยังไม่รู้ความหมาย 

สุดท้ายคือเรื่องของภาษาเทพ นายชูชาติ เล่าต่อว่า ถ้าอยากลองพิสูจน์ว่าภาษาเหล่านั้น มันมีความหมายหรือไม่ ลองอัดเสียงแล้วไปถามลูกศิษย์ของร่างทรงดูว่า ท่านเทพพูดว่าอย่างไรบ้าง เมื่อได้คำตอบแล้ว ลองเอาเสียงที่อัดไปให้ร่างทรงเจ้าอื่นฟัง แล้วถามว่ามันแปลว่าอย่างไร ซึ่งคำตอบที่ได้มา มันจะไปกันคนละทิศละทางกับเจ้าแรกที่ไปถามเลย ตนก็ลองของในงานชุมนุมร่างทรง ซึ่งเทพแต่ละองค์ก็โต้ตอบกันไปมาด้วยภาษาที่คนธรรมดายากจะเข้าใจ ตนก็พูดมั่วซั่วออกไปบ้าง ร่างทรงเจ้าอื่นก็พยักหน้าเหมือนเข้าใจความหมาย ทั้งๆ ที่พูดเองยังไม่เข้าใจเลยว่าพูดอะไรไปบ้าง

ของแบบนี้ต้องอาศัยการฝึกฝนและบางอย่างต้องอาศัยความใจกล้าพอสมควร แต่เชื่อว่าหากผ่านการฝึกฝนมาแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีองค์เทพลงมาประทับก็สามารถทำได้


เดินสายร่างทรงมา 25 ปี ผมยังไม่เคยเจอของจริง

ถึงแม้จะมีความเชื่อว่า "มนุษย์" สามารถทำหน้าที่เป็นสื่อกลางติดต่อกับเทพเจ้าได้ แต่สำหรับ นายชูชาติแล้วกลับบอกว่า รับบทบาทเป็นร่างทรงมานาน 25 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515-2540 ซึ่งตลอดระยะเวลาที่เป็นร่างทรง ได้เก็บข้อมูลมาโดยตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งได้อ่านข่าวของ พระพยอม กัลยาโณ ที่ท่านออกมาโจมตีเรื่องของการทรงเจ้า จึงตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาท่าน เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการตีแผ่เรื่องราวเหล่านี้ และจากข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้ ทำให้พระพยอมพาตนไปเปิดตัวต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก ในวันที่ 6 ก.พ. 2540 ที่ วัดสวนแก้ว ซึ่งครั้งนั้นเป็นการแสดงอิทธิฤทธิ์โดยที่ไม่ต้องเข้าทรง ต่อหน้าสาธารณชนเป็นครั้งแรก 

“ผมอยู่วงการทรงเจ้ามา 25 ปี ผมยังไม่เคยเห็นของจริงแม้แต่รายเดียว” นายชูชาติ กล่าว

อดีตร่างทรง ฝากข้อคิดทิ้งท้ายว่า ถ้าร่างทรงมีจริง ประเทศเราคงเจริญล้ำหน้าแซงอเมริกาไปไกลแล้ว และขอเตือนให้ระวัง พวก “ร่างทรงจัดฉาก” พวกนี้ทำกันเป็นขบวนการและอันตรายมาก มีการเปิดตำหนัก ลูกศิษย์ลูกหารายล้อม มีหน้าม้ามาเข้าเฝ้า ซึ่งทั้งหมดคือการเล่นละครตบตา เพื่อให้เหยื่อที่หลงเข้ามาเกิดความเลื่อมไสต่อองค์เทพอุปโลกน์ที่อยู่เบื้องหน้า สุดท้ายใครที่หลงเชื่อก็ถูกหลอกเอาทรัพย์สินเงินทองไป หรือถ้าร้ายไปกว่านั้นบางรายอาจตกเป็นเหยื่อของการล่วงละเมิดทางเพศด้วย การกระทำแบบนี้คือมิจฉาชีพ ย่อมไม่ประสงค์ดีต่อคนที่ตกเป็นเหยื่อแน่นอน




แม้ความเชื่อเรื่องการทรงเจ้า จะยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ แต่ในทางวิชาการ ได้มีการทำวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมของร่างทรง โดยใช้ทฤษฎีของนักสังคมวิทยาเพื่อมาอธิบายพฤติกรรมต่างๆ ได้อย่างน่าสนใจ

นักวิชาการชี้ ความหน้าเชื่อถือคือพลังแห่งศรัทธา

การอธิบายพฤติกรรมต่างๆ ของร่างทรงนั้น ดร.รัตพร เดอะ ยง อายุ 40 ปี ประธานสาขาวิชาไทยและอาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผู้ค้นคว้าและเขียนงานวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมของร่างทรง และติดตามสังเกตพฤติกรรมของร่างทรงมานานถึง 10 กล่าวว่า ได้เก็บข้อมูลร่างทรงมาทั้งหมด 38 เคส แต่มีอยู่ 2 เคส ที่น่าสนใจ เพราะเรียกได้ว่าเป็นร่างทรงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด มีลูกศิษย์ที่นับถือทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญคนที่ศรัทธามักจะเป็นคนมีฐานะ ถึงขนาดออกเงินสร้างศาลเจ้าและบ้านพักอาศัยส่วนตัวให้




หลังจากศึกษาพฤติกรรมของคนทรงเจ้าพบว่า ร่างทรงนั้นมีลักษณะที่คล้ายกันคือ จะต้องทำให้คนเชื่อว่ามีเทพเจ้าอาศัยอยู่ในร่างนั้นจริงๆ ซึ่งหากทำตรงนี้ได้ จะถือว่าประสบความสำเร็จไปแล้วในขั้นต้น ส่วนในขั้นต่อไปก็ต้องทำให้เกิดความน่าเชื่อถือมากขึ้น ด้วยการตอบสนองสิ่งที่คนมาใช้บริการคาดหวัง เช่น การดูดวง หรือให้ปรึกษาในเรื่องต่างๆ ยิ่งผู้ใช้บริการทำตามคำแนะนำจนประสบความสำเร็จ ความศรัธาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ซึ่งความสามารถตรงนี้ ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และทักษะในการโต้ตอบของแต่ละคน ใครที่ทำได้ดีก็จะเป็นที่เคารพศรัทธาจากผู้คนมากมาย

ทฤษฎีโรงละคร สร้างบรรยากาศให้คล้อยตาม  

ดร.รัตพร กล่าวว่า “การแสดงสีหน้า ท่าทาง และการสร้างบรรยากาศภายในศาลเจ้าด้วยกลิ่นธูป แสงเทียน ประกอบกับบทสวดสำเนียนจีนเคล้าไปกับเสียงเคาะให้จังหวะของไม้ จึงทำให้คนที่มาศาลเจ้านั้น คล้อยตามได้ ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้ สามารถได้ด้วยทฤษฎีของ เออร์วิง กอฟฟ์แมน”

เราเปรียบร่างทรงเป็นนักแสดง ส่วนลูกค้าหรือผู้ที่มาใช้บริการนั้นเปรียบเสมือนผู้ชม ฉะนั้นการที่จะทำให้ผู้ชมประทับใจแล้วอินไปกับสิ่งที่ร่างทรงต้องการนำเสนอให้ผู้ชมเห็น จะต้องมีองค์ประกอบของฉาก การแสดงสีหน้าท่าทาง น้ำเสียง จนถึงการสร้างบรรยากาศ ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้ ร่างทรงมีครบทุกอย่าง ยกตัวอย่างร่างทรงของเทพเจ้าจีน คนทรงก็จะเปลี่ยนเสื้อผ้าไปตามคาแรกเตอร์ของเทพเจ้าองค์นั้นและมีการเปลี่ยนน้ำเสียงให้ผิดไปจากเสียงเดิม นอกจากนี้ยังสามารถพูดภาษาจีนได้ด้วย




“เคยมีการทดลองอัดเสียงของคนทรงเจ้าที่พูดออกมาเป็นภาษาจีนไปให้ผู้เชี่ยวชาญฟัง และได้รับคำตอบว่า มีภาษาจีนจริงๆ ปนอยู่บ้างแต่ก็เป็นแค่คำง่ายๆ และสำเนียงที่ฟังดูอาจจะคล้ายคลึงกับภาษาจีนแต่จริงๆแล้ว มันเป็นคำที่ไม่มีความหมาย”

จากนั้นก็ได้นำเสียงที่อัด ไปสอบถามจากคนจีน ที่ทำหน้าที่ผู้ช่วยร่างทรงในตำหนักแห่งหนึ่ง และได้รับคำตอบว่า “ภาษาที่พูดนั้นเป็นภาษาเทพ จำเป็นต้องใช้คนที่มีการศึกษาภาษาจีนขั้นสูงเท่านั้น จึงจะแปลความหมายได้”

เปรียบร่างทรงเป็นจิตแพทย์ ให้บริการปรึกษาปัญหาชีวิต

ดร.รัตพร กล่าวว่า ร่างทรงต้องคำนึงถึงบริบทโครงสร้างสังคมและวัฒนธรรมด้วย ในอดีตร่างทรงอาจจะมีหน้าที่ในการรักษาพยาบาล แต่ในปัจจุบัน มีการรักษาที่ทันสมัยมากขึ้น คนก็เข้ารักษากับการแพทย์สมัยใหม่แทน แต่ร่างทรงยังคงดำรงอยู่ในสังคม โดยเปลี่ยนบทบาทของจากการรักษาพยาบาล มาเป็นให้คำปรึกษาในเรื่องการดำเนินชีวิตแทน ซึ่งในต่างประเทศ หากใครต้องการคำปรึกษาในเรื่องต่างๆ ก็จะไปพบจิตแพทย์ การไปหาจิตแพทย์ของวัฒนธรรมตะวันตกจึงถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับการเข้าหาจิตแพทย์ของคนไทย มักจะถูกมองในแง่ร้าย ฉะนั้นการเข้าหาร่างทรง จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่คนไทยใช้บำบัด สุขภาพจิต ทำให้พูดได้ว่าร่างทรงนั้น เปรียบเสมือนนักจิตวิทยาประเภทหนึ่งแต่เป็นนักจิตวิทยาที่เกิดจากประเพณีและความเชื่อ

“สุดท้าย… ในฐานะนักวิจัย คงไม่สามารถบอกได้ว่าเรื่องราวของร่างทรงนั้นมีจริงหรือไม่ เพราะวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์เรื่องเหล่านี้ได้ แต่เราได้พยายามหาทฤษฎี เพื่อใช้อธิบายถึงพฤติกรรมเหล่านี้” ดร.รัตพร กล่าว…

ที่มา: www.thairath.co.th/content/537394


1 ความคิดเห็น:

  1. MGM Grand Hotel & Casino - Mapyro
    Located in Las 수원 출장샵 Vegas (Las Vegas 남양주 출장마사지 Strip), MGM Grand Hotel & Casino is within 인천광역 출장샵 a 10-minute walk of other popular attractions like High Roller  Rating: 용인 출장마사지 4.5 · ‎9 포항 출장마사지 reviews

    ตอบลบ